‘วิกรม’ เผยกับสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน เมื่อจีนเปิดประเทศแล้วทิศทางการค้า การท่องเที่ยว จะไปทางใด

‘วิกรม’ เผยพร้อมจับมือสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ผลักดันข้อมูลการค้าการลงทุนจากจีน

นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานสภาธุรกิจไทย-จีน ให้สัมภาษณ์ในโอกาสพบปะกับคณะกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ถึงมุมมองเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจของไทยหลังเปิดประเทศ และการที่จีนเปิดประเทศแล้วเช่นกัน โดยระบุว่า มองเรื่องนี้ใน 2 ทาง หนึ่งคือ มุมของประเทศไทย เนื่องจากว่าเกือบ 70% ของจีดีพีไทย อาศัยธุรกิจและปัจจัยที่เกี่ยวกับต่างชาติ ดังนั้นการที่ไทยเปิดประเทศจึงเป็นเรื่องที่ดี บวกกับทางจีนก็เปิดประเทศแล้ว เนื่องจากจีนถือเป็นตัวจักรสำคัญ โดยภาพรวมการค้าในขณะนี้ คือการนำเข้าส่งออกของจีน ปัจจุบันมีมากกว่าอเมริกา 20% ยิ่งเมื่อจีนเปิดประเทศ สิ่งที่ไทยจะได้อันดับแรกคือนักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาไทย ซึ่งแต่ละปีมีประมาณ 130 ล้านคนที่ออกไปต่างประเทศ คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 400,000 ล้านเหรียญฯ
.
“ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนไปไหนก็มีทั้งไปกิน เที่ยว ซื้อสินค้า ก็มีเม็ดเงินเยอะในไทย และจะเป็นการกระจายรายได้ไปทั้งเมืองหลักและเมืองรอง ไม่ได้กระจุกอยู่ในเมืองหลวงเหมือนบางธุรกิจ แต่การท่องเที่ยวจะกระจายไปค่อนข้างจะดี ที่สำคัญเมื่อไม่มีพิธีการอะไรมากก็ยิ่งทำให้กระจายรายได้เร็ว ไปถึงมือคนขายอาหาร ทั้งทัวร์ ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ท เป็นต้น”
.
นายวิกรมฯ กล่าวว่า ข้อสองคือ กรณีการเกิดสงครามการค้า หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ จนถึงวันนี้ยังคงมีต่อเนื่อง เพราะอเมริกาไม่สามารถยอมรับที่จะให้ใครมาแซงหน้าเรื่องการแข่งขันทางการค้าได้ ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะกับจีน แต่ถ้าเยอรมัน หรือญี่ปุ่น หากจะเติบโตแซงขึ้นมา ก็จะยอมรับไม่ได้เช่นกัน เพราะอเมริกาถือเป็นพระเอกของเศรษฐกิจโลกมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ดังนั้น จู่ๆไม่กี่ปี จะปล่อยให้ใครมาแข่ง หรือมาแซงคงไม่ได้ จึงต้องหาทางลดความสามารถการแข่งขันประเทศที่จะแซงขึ้นมา
.
“เมื่อปีที่แล้ว อเมริกาขาดดุลการค้าให้จีนประมาณ 400,000 กว่าล้านเหรียญฯ และจีนได้ดุลการค้าทั่วโลกประมาณ 800,000 ล้านเหรียญฯ จีนก็รวยขึ้นๆ อเมริกาจึงบีบจีนด้วยภาษี หรืออย่างหัวเหว่ยที่โดนมาตรการต่างๆ เป็นต้น ดังนั้นจะกระทบไปถึงโรงงานต่างๆ ที่อยู่ในจีน ของไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น หรืออะไรต่างๆที่จะออกมาจากจีน กระจายไปลงทุนในอาเซียน ซึ่งไทยเองอยู่ในอาเซียน เป็นใจกลางด้วย ซึ่งกลุ่มทุนต่างๆ เหล่านั้นจะรู้สึกดีกับไทยเรามากกว่า เพราะความรู้สึกคุ้นเคยในหลายๆ ด้าน ทั้งเชื้อชาติและศาสนา เป็นต้น”

นายวิกรมฯ ยังกล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ในอาเซียนเอง ไทยต้องพัฒนาและปรับตัว เพราะจะเห็นว่า เมื่อปี 2021 คนจีนมาลงทุนไทยมีเม็ดเงินลงทุนเป็นอันดับ 6 ของอาเซียน จากสมากชิก 10 ประเทศ แต่ไปลงทุนประเทศอื่นๆ เช่น สิงคโปร์ เวียดนาม มากกว่าไทย ดังนั้นไทยจะต้องพยายามขยับขึ้นมา จะต้องมองเปรียบเทียบกับประเทศอื่นบ้าง เช่น เวียดนาม ย้อนไป 5 ปีถึงปัจจุบัน เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศในเวียดนามมากกว่าไทยถึง 3 เท่า หรือสิงคโปร์ก็มีต่างชาติเข้าไปลงทุนมากกว่าไทย เพราะเขาเข้มแข็ง หรือแม้แต่ลาวเอง ก็มีพัฒนาไปมาก รถไฟฟ้าทะลุไปจีนแล้ว ฉะนั้นไทยจำเป็นต้องปรับตัว ซึ่งไม่มีอะไรที่สายเกินไป แค่วันนี้ไทยต้องเข้าใจคู่แข่ง ต้องใช้ศักยภาพที่มีมากกว่า เช่น ตลาด เม็ดเงิน เทคโนโลยีทันสมัย ซึ่งปัจจุบัน มีการลงทุน รถยนต์จีนพลังงานไฟฟ้าต่างๆ เข้ามาเยอะมาก เป็นต้น

สำหรับบทบาทของสภาธุรกิจไทย-จีน ในปีนี้จะมีทิศทางอย่างไร นายวิกรมฯ กล่าวว่า บทบาทของสภาธุรกิจไทย-จีน ซึ่งเป็นองค์กรที่สร้างขึ้นมากว่า 20 ปีแล้ว โดยหอการค้าสากลของจีน ซึ่งก็เป็นของรัฐบาล โดยทางสภาฯได้เป็นพันธมิตรมากว่า 20 ปีแล้ว เนื่องจากว่าเป็นองค์กรการค้าที่ใหญ่ที่สุด ใครที่สนใจจะลงทุนจะทำเกี่ยวกับการค้าการขาย การลงทุนก็ต้องสานสัมพันธ์กับองค์กรนี้ ซึ่งในส่วนของการสานสัมพันธ์ต่างๆ ก็คือบทบาทของสภาธุรกิจไทย-จีน นั่นเอง นอกจากนี้ที่ได้มีการร่วมมือกันแล้วก็คือ สภาอุตสาหกรรมจีน ซึ่งดูแลเรื่องโรงงานอุตสาหกรรมและสายการผลิตต่างๆ ส่วนเราจะทำหน้าที่ช่วยดูแลต้อนรับ เร็วๆ นี้จะมีคณะธุรกิจและนักลงทุนเข้ามาไทย ต่อเนื่องจากก่อนช่วงโควิด จะมาเป็นมณฑลและหอการค้าต่างๆ ครั้งนี้หากมาก็จะเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้เข้ามามีส่วนในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ข่าวสารร่วมกันมากขึ้นตามความเหมาะสม
.
“ซึ่งทางสภาธุรกิจไทย-จีน ยินดีที่จะร่วมมือและให้การสนับสนุนทางสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน ในการนำเสนอข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ เพื่อที่จะได้เป็นองค์กรพันธมิตรในการร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจไทย ให้มีการค้าการลงทุนจากทางจีนมากขึ้น ดังนั้นการจับมือร่วมกันจะช่วยให้มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งกิจกรรมให้ความรู้ที่สำคัญๆ ร่วมกันได้ ถือเป็นอีกความร่วมมือที่สำคัญ” นายวิกรมฯ กล่าว


นายภูวนารถ ณ สงขลา นายกสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน กล่าวว่า สำหรับข้อตกลงความร่วมมือกับทางสภาธุรกิจไทย-จีน ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะสมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร แต่ทำหน้าที่สนับสนุนในเรื่องการเผยแพร่และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้กับทั้งทางฝ่ายจีนและฝ่ายไทย ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจะเป็นสิ่งที่ได้กับทั้งทางไทยและทางจีน ในลักษณะของผลประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจและการลงทุนร่วมกัน

Admin P’Aoo Paethong Tel 084 104 7799

ฅนวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ที่ชื่นชอบการเดินทางถ่ายรูปและถ่ายทอดประสบการณ์เป็นวิทยาทาน ด้วยมูลเหตุ “มีอื่นๆ อีกมากมาย ท้าทาย ให้สัมผัส” และผลลัพธ์ คือมวลชน ทุกคนเป็น สื่อฯ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *